Friday, April 12, 2013

พฤติกรรมเฉพาะตัว....ของสุนัขพันธุ์บางแ้ก้ว


สุนัขก็คือสุนัขที่ทุกตัวจะต้องมีการเห่า กัด ไล่ล่า การดมก้นซึ่งกันและกัน การเลียปากหรือเอาจมูกชนกัน การกระดิกหาง การยกขาทุกครั้งที่จะฉี่ การเลียเพื่อขอบคุณ การฉี่เพื่อปักปันเขตแดน ฯลฯ ที่สุนัขทุกตัวมีให้เห็น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ถ้าคุณคิดจะเปลี่ยนนิสัยมันแล้ว ควรล้มเลิกความตั้งใจได้ เพราะมันคือสุนัข พฤติกรรมต่าง ๆ ที่สุนัขแสดงออกเหล่านี้ มันต้องการจะสื่อถึงอะไร

การเอาจมูกแตะกันและดมกัน
สุนัข 2 ตัว ไม่เคยพบกันมาก่อน แล้วจู่ ๆ มาเจอกัน สิ่งแรกที่มันแสดงออกถ้าไม่เห่า แล้ววิ่งเข้าหากันโดยเอาจมูกมาแตะกัน การเอาจมูกแตะกันอย่างนี้เป็นพฤติกรรมทดสอบฝ่ายตรงข้ามเป็นเบื้องต้นว่ามาอย่างมิตรหรือศัตรู ต่อจากนั้นจะผลัดกันดมกัน เพื่อเพิ่มความคุ้นเคย และเป็นการจดจำกลิ่นซึ่งกันและกัน ถึงขั้นดมกลิ่นนี้ถือว่าสุนัขทั้งสองตัวเรียนรู้ได้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรูกัน ถ้าเป็นศัตรูกันก็อาจเดินหนี

นอนหงายท้องเห็นลำคอ
เมื่อผ่านขั้นตอนแตะจมูกและดมกันแล้ว เกิดตัวหนึ่งตัวใดไม่ชอบหน้าอีกตัวหนึ่ง อาจเดินหนีไปก็ได้ หรือถ้าสถานการณ์เลวร้ายกว่านั้น มันจะขู่คำรามใส่กันและการต่อสู้จะเกิดขึ้นในเวลาต่อมา แต่โดยธรรมชาติได้สร้างหนทางปลอดภัยไว้ในสุนัขที่ไม่อยากต่อสู้ด้วย หรือหลีกเลี่ยงการต่อสู้หรือคาดว่าสู้ไม่ได้ สุนัขตัวที่อ่อนแอกว่าจะทำสัญญาสงบศึกทันที โดยการนอนหงายท้องเผยให้เห็นลำคอ เป็นเสมือนการยกธงขาวย้อมแพ้นั่นเอง เป็นการยอมจำนนทุกกรณี หากสุนัขตัวที่ชนะคิดจะเข้างับคอตัวที่นอนหงายท้องอยู่มันก็ทำได้ แต่สัญชาติญาณของนักสู้ ทำให้มันหยุดการกระทำดังกล่าว จะเห็นได้ว่านักสู้หรือนักเลงจริงแม้แต่ในสุนัขก็มีให้เห็นได้ (แพ้ก็คือแพ้)

หางและหูกระดิก
การแสดงความยินดีปรีดาของสุนัขเราจะทราบได้จากการกระดิกหางและ กระดิกหู เป็นการใช้ภาษาทางร่างกายสื่อความเข้าใจกับเจ้าของ ซึ่งแสดงถึงลักษณะอารมณ์ของมัน ถ้าสุนัขหางกระดิกหรือเหยียดตรงในแนวขนานกับลำตัว แสดงถึงความพอใจ ถ้าหางตั้งตรง แสดงว่าสุนัขกำลังมีความสนใจในบางสิ่งบางอย่าง หรืออาจกำลังอยู่ในภาวะของการตื่นเต้น ตกใจ ถ้าหากหางตกลงอยู่ระหว่างซอกขาหลังแสดงถึงความกลัว หรือแสดงถึงอาการสงบเสงี่ยมเจียมตัว 

อย่างไรก็ตาม การอ่านความรู้สึกของสุนัข โดยดูจากพฤติกรรมของหางนั้น ยังขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และความยาวของหางสุนัขอีกด้วย เช่น สุนัขพันธุ์เกรย์ฮาวน์ดแท้ โดยปกติมักจะชอบเก็บหางไว้ระหว่างซอกขา (ยกเว้นในขณะที่กำลังวิ่ง)

การฉี่
การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ของสุนัขโดยการใช้จมูกดมกลิ่น เพื่ออ่านสัญญาณหรือเครื่องหมายที่สุนัขตัวอื่นฉี่ทิ้งร่องรอยไว้ตามที่ต่าง ๆ การฉี่ทิ้งร่องร่อยไว้ก็เพื่อแสดงว่ามันสามารถกลับมายังบ้านของมันได้ถูก ถ้าหากมันต้องเดินทางไกล ในสุนัขเพศผู้การฉี่ทิ้งร่องรอยไว้เป็นสิ่งสำคัญมาก เป็นการแสดงถึงอาณาเขตที่มันคุมอยู่ (เจ้าถิ่น) มันจะยกขาฉี่ที่ละเล็กที่ละน้อย จะไม่ฉี่รวดเดียวเสร็จเพียงเพื่อทิ้งร่องรอยไว้เท่านั้น หากมีสุนัขอีกตัวมาดมแล้วก็ฉี่ทับก็แสดงว่าสุนัขที่ฉี่ทับนั้นประกาศสงคราม กับเจ้าของรอยฉี่เดิมเข้าแล้ว แต่ในสุนัขเพศเมียแล้วจะฉี่รวดเดียวหมด ไม่ค่อยมีการฉี่ทิ้งร่องรอยแบบในเพศผู้เว้นแต่ช่วงที่มันเป็นสัดอยากผสม พันธุ์ สุนัขเพศเมียจะฉี่ทิ้งร่องรอยเพื่อรอตัวผู้มาให้เลือกคู่ 

การที่สุนัขยกขาข้างหนึ่งเวลาฉี่นั้น เป็นเรื่องที่คนไม่ควรเข้าไปแก้ไขมัน เพราะนั่นคือธรรมชาติของมัน และเมื่อนำสุนัขเดินเล่นแล้วมันเกิดเดี๋ยวเดินเดี๋ยวหยุดฉี่ก็ต้องตามใจมัน บ้าง

 
การแสดงออกทางสีหน้าและท่าทาง
เราจะแปลความหมายในการแสดงออกจากสีหน้าและท่าทางของสุนัขได้ แต่ไม่มีมาตรฐานเสมอไป ส่วนประกอบของใบหน้าที่บ่งบอกถึงอารมณ์ เช่น จมูกย่น กระพริบตา หรือหรี่ตา เปิดริมฝีปากหรือที่เรียกว่า ยิงฟัน หูลู่ หูตก การแสดงออกทางอารมณ์อ่านได้ชัดเจนในสุนัขป่าที่เป็นบรรพบุรุษของมัน แต่ก็ยังหลงเหลือมายังสุนัขหลายพันธุ์ที่มีขนปกคลุมหนา เช่น ยอร์คเชีย เทอร์เรีย , โอล์ อิงชิช ชีพด็อก เป็นต้น 

หูของมันบ่งถึงอารมณ์เป็นอย่างดี โดยเฉพาะสุนัขพันธุ์หูตั้งอย่างหมาบางแก้ว หมายถึง มันมีความมั่นใจและสนใจพร้อมที่จะปกป้องคุ้มครอง การที่หูของมันเบนไปยังเสียงที่เกิดขึ้น ก็แสดงว่ามันกำลังสนใจ สิ่งที่ทำให้เกิดเสียงอยู่ ในการที่หูของมันลู่หรือเอนราบไปทางด้านหลัง แสดงว่ามันไม่ได้วางใจหรือสงสัย และถ้ามันมีการคำรามร่วมและมีขนตั้งด้วย แสดงว่ามีพฤติกรรมก้าวร้าว มันเป็นการยากที่จะอ่าน สัญชาติญาณในสุนัขพันธุ์หูตก แต่ถ้ามันพยายามที่จะยกหูขึ้นแสดงว่ามันความสนใจต่อเสียงที่เกิดขึ้นเช่นกัน 

ถึงแม้ว่าการดูความรู้สึกของสุนัขจากสีหน้าท่าทางที่แสดงออก จะไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ก็ตาม แต่ก็พอสังเกตได้ เช่น การเปลี่ยนสีหน้าท่าทางจากปกติจนถึงเข้าต่อสู้ 

สีหน้าปกติ ผ่อนคลาย รักสงบ
ความตั้งใจ สนใจ จดจ่อ หูตั้งสองข้างชันขึ้น
ความลังเลใจ ความรู้สึกกลัว หูจะลู่แบราบมาข้างหลัง ริมฝีปากเผยอขึ้น คำรามในลำคอน้อย ๆ
กลัวและเริ่มโกรธ หูลู่แบราบติดกับลำคอ ริมฝีปากเผยอมากขึ้น คำรามดังขึ้น
เตรียมพร้อมที่จะเข้าโจมตีศัตรู หูตั้งขึ้นเล็กน้อย อ้าปากคำราม
โจมตีศัตรู หูชี้ชันขึ้นไปข้างหน้า อ้าปากกว้าง คำรามพร้อมที่จะกัด
อาการเหล่านี้ปกติไม่ด่วนพบ แต่ก็หลบซ่อนอยู่ในตัวของสุนัขหลาย ๆ พันธุ์ ภายใต้ขนหนานุ่มและแสนจะน่ารัก

การเลีย
สุนัขจะแสดงความรักต่อเจ้านายของมันได้โดยการเลียหรือเราเรียกว่า "เลียประจบ" มันอาจจะเลียแข้งเลียขาดะไปจนถึงเลียหน้าเจ้านายของมัน ก็สุดแท้แต่มันจะรักหรือประจบเจ้าของมันสักปานไหน เราถือว่าการเลียเพื่อแสดงความรัก ความเป็นมิตรกันนั้นเป็นสัญชาติญาณจากบรรพบุรุษของสุนัขทุกตัวนั่นเอง

การยกขา
การที่เราเห็นสุนัขยกเอาขาหน้าขึ้น เป็นการแสดงว่ามันขอแบ่งอาหารจากคุณหรือเมื่อต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น เชื่อว่าพฤติกรรมอันนี้สืบเนื่องมาจากขณะที่เป็นลูกสุนัขแรกเกิด เนื่องจากเวลามันดูดนมจากเต้านมของแม่นั้น ลูกจะใช้เท้าของมันพลิกหรือดันหัวนมของแม่มันเป็นจังหวะ เป็นการกระตุ้นให้มีน้ำนมไหล คือ มันยังต้องการจะกินนมแม่มันอีก มันจึงทำอย่างนั้นแล้วก็สมใจมันเกือบทุกครั้ง โตขึ้นมันจึงมีพฤติกรรมเดิมหลงเหลือมาแสดงกับคนต่อ

การขุดและการกลบ
พฤติกรรมการฝังกระดูกและเศษเนื้อ ก็เป็นสัญชาติญาณของบรรพบุรุษของมันอีกเช่นกัน ซึ่งเป็นสัญชาติญาณของความอยู่รอดของสัตว์ป่า โดยการถนอมอาหาร เพื่อที่จะเก็บอาหารไว้กินยามขาดแคลน ถึงแม้ว่าสุนัขที่เลี้ยงในบ้านไม่ได้ขาดแคลนอาหาร แต่มันก็ยังไม่สามารถที่จะทิ้งนิสัยเดิมของมันได้ มันไม่เพียงแต่ฝังเศษอาหารเท่านั้น มันยังฝังของเล่นอีกด้วย แล้วจะกลบอย่างประณีตมาก สุนัขบางตัวสามารถจดจำสถานที่ฝังได้อย่างแม่นยำ แต่ก็ยังมีบางตัวที่ลืมสมบัติที่มันฝังไว้ 

สุนัขบางตัวที่มีนิสัยชอบขุดหรือขีดข่วนบนพื้นที่แข็งของพื้นห้อง เหมือนกับว่ากระตือรือร้นที่จะสร้างที่นอนอันสบายของมันเอง ซึ่งพฤติกรรมนี้สามารถพบเห็นได้จากการที่มันชอบไปนอนในตะกร้า และสิ่งแรกที่มันทำก็คือการขีดข่วน เพื่อเป็นการจัดที่นอนของมัน พฤติกรรมอันนี้เมื่อย้อนไปในอดีตเป็นสัญชาติญาณเพื่อความอยู่รอด ถึงแม้ว่าในยุคนี้พฤติกรรมดังกล่าวจะเปลี่ยนแปลงไปมาก เนื่องจากมีความใกล้ชิดกับมนุษย์มากขึ้นก็ตาม

 
การเดินวนไปมา
การที่สุนัขสักตัวหนึ่งเดินวนไปวนมาอยู่หลายครั้ง จะนอนก็ไม่นอนอะไรสักอย่างก็ไม่ทำ จะวนไปวนมาอยู่หลายครั้งถึงจะล้มตัวลงนอน หรือพฤติกรรมทำท่าโก้งโค้งคร่อมลูกบอล เหล่านี้เป็นพฤติกรรมที่สุนัขได้รับการถ่ายทอดจากบรรพบุรุษเดิมของมัน แสดงให้ทราบถึงการจับจองอาณาบริเวณแสดงความเป็นเจ้าของถิ่นแถวนั้นนั่นเอง

การเห่า
เกิดเป็นสุนัขแล้วไม่เห่าเขาจะตราหน้ามันได้ว่า "เสียชาติหมา" เพราะการเห่าเป็นพฤติกรรมที่ปกติมากของสุนัข เมื่อมันอายุได้ 4-6 เดือน มันกล้าที่จะเห่าอย่างมั่นใจ มันอาจจะเห่าอย่างไม่มีเหตุผลนักในบางครั้ง แต่สำหรับสุนัขทุกครั้งที่เห่านั่นแสดงว่าเกิดความแปลกหรือผิดปกตินั่นเอง เช่น เสียงดังเข้าประสาทหูมัน กลิ่นแปลก ๆ จากสัตว์อื่น เหล่านี้เป็นการระวังภัยของมันนั่นเอง ให้สุนัขมันเห่าไปเถอะ ทน ๆ เอาหน่อย และเป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะการเห่าของสุนัขเป็นสิ่งที่ช่วยเตือนภัยให้เจ้าของบ้านด้วย

การกัดและไล่ล่า
ตามธรรมดาแล้วสุนัขเป็นสัตว์ที่ไวต่อสิ่งเร้ามาก คือ มากกว่าคนถึง 10 เท่า การตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หากสุนัขถูกเลี้ยงดูอย่างไม่ค่อยเอาใจใส่ดีนัก เช่น ไปตีมันบ่อย ๆ หรือเจ้าของชอบขังมันไว้ในกรงบ่อยและนาน ๆ หรือบางคนชอบเตะสุนัข ถ้าหากสุนัขตัวใดเจอสภาวะเหล่านี้บ่อยเข้า มันจะแสดงอาการต่อต้านเจ้าของและต่อต้านบุคคลอื่น สุนัขตัวอื่นหรือสัตว์อื่น ๆ ได้เสมอ ถ้ามันเจอสภาวะเช่นนั้นหนักและนานเข้า ความก้าวร้าวของมันถึงระดับดื้อด้านแล้วควบคุมมันยากขึ้น 

การเดินเข้าหาสุนัขที่ก้าวร้าวเช่นนี้นั้น จะต้องเดินเอาข้างของลำตัวเราเข้าไปหามัน ถ้าเอาด้านหน้าหรือเดินเข้าไปหามันตรง ๆ มันจะเข้าใจว่าไปท้าทายมัน จากนั้นก็เอาแขนยื่นออกไปข้างหน้า เพื่อที่จะหันเหความสนใจของสุนัขออกจากตัวเราและขาของเราด้วย 

สำหรับสุนัขที่ชอบวิ่งไล่คน หรือวิ่งไล่คนขี่จักรยาน หรือคนที่เมื่อเจอสุนัขแล้วชอบวิ่งหนีนั้น จะเป็นการจุดชนวนให้สุนัขวิ่งไล่ตามขึ้นไปอีก การที่สุนัขวิ่งไล่เรานั้นไม่ใช่อะไรหรอก สุนัขมันแค่อยากจะหยุดเราชั่วครู่เท่านั้น เพราะตามสัญชาติญาณของมันเมื่อฝ่าเท้าถูกกระตุ้นให้วิ่งนั้น ย่อมหมายถึงว่าจะต้องมีการล่าเกิดขึ้น แต่จะประสบผลสำเร็จหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

สุนัขกัดสุนัข
 
ถือเป็นพฤติกรรมก้าวร้าวที่ค่อนข้างดุเดือด หรือบางครั้งจบลงด้วยชีวิตของสุนัขตัวที่อ่อนแอกว่า แต่ใจสู้จนตัวตาย ทำไมสุนัขตั้งสองตัวขึ้นไปจึงอยู่ร่วมโลกสุนัขอย่างสันติไม่ได้หรือถึงได้ กัดกันเอง เหล่านี้เป็นไปด้วยสาเหตุ กล่าวคือ 

1. แข่งกันทำตัวให้เด่นเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าของ เป็นลักษณะที่อิจฉาริษยานั่นเอง ซึ่งเราจะ พบลักษณะนี้บ่อยในสุนัขที่อยู่บ้านเดียวกันหรือครอกเดียวกัน 

2. ในช่วงที่สุนัขจะเริ่มเข้าสังคม คือ เริ่มที่จะโตเป็นหนุ่มสาวนั้น เขาก็ถูกแยกจากพวก สุนัขด้วยกัน โดยไม่มีการติดต่อกับพวกเดียวกันเลย อาจทำให้เวลามาเจอกันตอนหลังจากช่วงนี้แล้วก็เกิดการต่อสู้กันได้ 

3. การต่อสู้เพื่อแย่งชิงตัวเมีย สาเหตุนี้มักจะพบบ่อย ๆ ให้เห็นได้ทั่วไปเวลาสุนัข "ติดสัด" 

4. อาจเกิดจากภาวะเครียดทางจิตใจ และทำให้เกิดการตื่นกระหนก จนอาจเกิดการกัดกัน ได้ เช่น ภาวะของสุนัขที่ถูกนำมาจากหลาย ๆ แห่งแล้วมาอยู่ร่วมกันในกรงเดียวกัน 

5. เกิดจากโรคหรือความเจ็บปวดทางบาดแผล

สรุป พฤติกรรมของสุนัขที่กล่าวนี้ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ธรรมชาติได้ฝากไว้ให้กับมันมาแต่ รุ่นบรรพบุรุษคือสุนัขป่าและสุนัขจิ้งจอก แม้ปัจจุบันจะเป็นสุนัขที่อยู่บ้านแล้ว เชื้อสายเดิมก็ยังคงปรากฏให้เห็นอยู่เสมอ พฤติกรรมบางอย่างเราเรียนรู้แล้วอาจปรับปรุงแก้ไขหรือฝึกหัดมันได้ ส่วนที่ฝืนธรรมชาติมากเกินไปก็อย่าไปฝึกหัดมันเลย ปล่อยให้เป็นคุณสมบัติประจำเผ่าพันธุ์สุนัขมันบ้าง 

  
แหล่งที่มา  งานเทคโนโลยี สารสนเทศ
                   สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยี
                   สารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฎพิบูลสงคราม
                   พิษณุโลก,g,
           gm

No comments:

Post a Comment