จะทำอย่างไร เมื่อสุนัขของคุณดุร้าย

หลายสาเหตุ หลายอาการ ที่เราไม่ทราบเหตุผล ของสุนัขที่ดุร้ายว่าเกิดจากอะไร และเมื่ออาการเหล่านี้เกิดขึ้นคุณมีวิธีจัดการทำสุนัขเหล่านี้ยังไง ซึ่งการปล่อยทิ้งอาจทำความเดือดร้อนมาสู่คนอื่นได้ง่าย เรามาหาวิธีแก้ไขกัน ดีกว่าค่ะ 

ปัญหาสุนัขดุ อาจมีคนตั้งคำถามมากมายว่าทำไงสุนัขถึงดุ และมีสาเหตุมาจากอะไร แต่ไม่ว่าสาเหตุจะเกิดจากอะไรก็ตาม เมื่อสุนัขของคุณมีอาการดุร้าย คุณมีวิธีรับมือกับเจ้าสัตว์เลี้ยงของคุณยังไง และมีวิธีแก้ไขอย่างไร

เรามีแนวทางในการแก้ปัญหาเมื่อคุณต้องเจอสุนัขที่คุณเลี้ยงมีอาการดุร้ายเกิดขึ้น ดังต่อไปนี้

1.             อย่าพยายามลงไม้ ลงมือกับสุนัข เพราะการใช้กำลังไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาให้สุนัขของคุณเลยค่ะ ซ้ำร้ายสุนัขของคุณอาจจะทำร้ายคุณได้อีกค่ะ

2.             ลองหาสาเหตุของเจ้า สุนัขว่าทำไมถึงดุร้าย เช่น การโดนรังแกจากคนอื่น หึงเจ้าของไม่ยอมให้คนอื่นเข้าใกล้ หรืออื่นๆ ที่พอจะหาสาเหตุได้ เพื่อให้คุณมีข้อมูลในการแก้ไขปัญหาต่อไป

3.             อย่าพยายามหลีกหนี หนีห่าง หรือกักขังเจ้าสุนัข เพราะจะยิ่งทำให้เจ้าสุนัขเห็นคุณเป็นคนอื่น และจะทำร้ายคุณได้ง่ายมากขึ้นค่ะ

4.             อย่าพยายามพลักความรับ ผิดชอบไปให้คนอื่นเป็นอันขาด หรือนำไปปล่อยทิ้งไว้ที่อื่น เช่น วัด หรือ ตึกร้าง เพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อคนอื่นได้ง่าย

 
คุณควรพยายามทำความเข้า กับสุนัขของคุณให้มาก หรือลองพูดคุย หรือลองเรียกชื่อของเจ้าสุนัขห่างๆ เพื่อดูปฎิกิริยาตอบโต้ของเจ้าสุนัข แต่ถ้าสุนัขของคุณนิ่งเฉย หรือมีอาการตาขวางขึ้นมา เห่า หรือขู่คุณขณะอยู่ใกล้ แนะนำให้คุณรีบไปปรึกษาสัตวแพทย์เพื่อหาทางแก้ไข 

การรักษาสุนัขดุ

สัตวแพทย์ อาจแนะนำการรักษาโดย การทำหมัน เพื่อลดฮอร์โมนเพศโดยเฉพาะเพศผู้อันเป็นเหตุหนึ่งที่สร้างความก้าวร้าวของสุนัข หรือ การให้ฮอร์โมนเพศเมีย สุนัขก็อาจลดความดุลงได้ การปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัย เพื่อลดสิ่งเร้า หรือสิ่งกระตุ้นที่ทำให้สุนัขแสดงอาการดุร้ายได้ค่ะ

เมื่อคุณได้ลองพยายามทุก วิถีทางแล้วไม่เป็นผล สภาพการณ์ดูจะรุนแรง และเป็นอันตรายต่อผู้คนมากขึ้น ทางออกสุดท้ายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้คือ "การทำเมตตาฆาต" ด้วยวิธีที่ถูกต้องเหมาะสมตามหลักวิชา และมนุษยธรรม ฉะนั้นทางที่ดีก่อนเลี้ยงสุนัข ควรศึกษาวิธีเลี้ยงดูสุนัขให้มากพอเสียก่อนเพื่อไม่ให้ต้องเกิดเหตุมิพึงปรารถนาตามมาภายหลัง...

แหล่งที่มา   http://www.108health.com