Monday, April 30, 2012

พุดเดิ้ล (Poodle)


พุดเดิ้ล ได้ชื่อว่าเป็น สุนัข ที่มีความนิยมอันดับหนึ่งของโลก และขึ้นชื่อว่าฉลาด ฝึกง่าย สอนง่าย ขี้อ้อน และประจบเก่งเป็นที่สุด แถมยังอดทนไม่ขี้แย เลี้ยงง่าย แม้จะปากเปราะไปบ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นหมาที่เห่าไม่รู้เรื่อง ยิ่งในบ้านเรา พุดเดิ้ล สายพันธุ์นิยมเลี้ยงกันคือ พุดเดิ้ลทอย มันกลายเป็นหวานใจตัวจ้อยของหลายๆ ครอบครัว เพราะขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ แถมยังมีลักษณะเป็นเหมือนเหมือนตุ๊กตาที่มีชีวิต สดใสมีชีวิตชีวา มีนิสัยรักสวยรักงาม ชอบเสริมสวย ชอบเที่ยว และเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวได้เร็ว

อาหารและการดูแล สุนัข พุดเดิ้ล
         อาหารการกินของ สุนัข พุดเดิ้ล ควรให้เป็นอาหารสำเร็จรูปจะดีที่สุด อาหารสำเร็จรูปนั้นมีอยู่หลายสูตรด้วยกัน ได้แก่ อาหารสูตรลูกสุนัข อาหารสูตรสุนัขโต และอาหารสูตรสุนัขแก่ การให้อาหารก็ควรให้ตรงตามอายุและสูตร เนื่องจากสุนัขในแต่ละวัยนั้นมีความต้องการอาหารที่แตกต่างกัน อย่างเช่น ลูกสุนัข จำเป็นต้องได้รับสารอาหารจำพวกโปรตีนสูงกว่าสุนัขโต ในขณะที่ร่างกายของสุนัขโตจะต้องการอาหารประเภทพลังงานมากกว่าโปรตีน อย่างนี้เป็นต้น และปริมาณการให้อาหารก็ไม่ควรมากจนเกินไป เพราะ พุดเดิ้ล จัดเป็นสุนัขพันธุ์เล็กที่กินไม่มาก

         นอกจากเรื่องของโภชนาการแล้ว การให้ อาหารสุนัข ยังควรคำนึงถึงความสะอาดเป็นสำคัญ เจ้าของต้องคอยหมั่นดูแลภาชนะใส่อาหารและสถานที่กินให้สะอาดเรียบร้อยอยู่ เสมอ เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคต่างๆ ที่พร้อมจะทำร้ายสุนัขของเรา ส่วนในด้านการดูแลความสะอาดของ พุดเดิ้ล จะต้องใส่ใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะเรื่องหู เพราะ พุดเดิ้ล มีใบหูที่ใหญ่ หนา ห้อยปรกลงมา จึงต้องหมั่นสำรวจดูใบหูบ่อยๆ แล้วใช้สำลีเช็ดทำความสะอาดให้หมดจด ซึ่งจะดีมากหากจะหยอดน้ำยาเช็ดหูเข้าไปก่อนประมาณ 5 นาทีเพื่อทำให้สิ่งสกปรกอ่อนตัว และง่ายในการเช็ดออกมา แต่ระวังอย่าแหย่สำลีลึกจนเกินไป เพราะอาจจะเป็นอันตรายต่อหูชั้นในได้

         นอกจากนี้ ตาก็เป็นอวัยวะสำคัญที่พบปัญหา พูเดิ้ล ส่วนใหญ่จะมีร่องน้ำตาที่เห็นได้ค่อนข้างชัด ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้คราบน้ำตาหรือสิ่งสกปรกไปหมักหมมได้ง่าย เจ้าของจึงควรคอยเช็ดทำความสะอาดให้ทุกวัน เพราะหากทิ้งไว้นานๆ คราบนั้นจะฝังแน่นอย่างถาวร เช็ดไม่ออก นอกจากนั้น ยังควรหมั่นตรวจดูดวงตาของ สุนัข พูเดิ้ล ด้วยว่ามีฝ้าขาวๆ หรือรอยขีดข่วน รอยแผลบ้างหรือไม่

พัฒนาการของสุนัขพันธุ์พุดเดิ้ล
พัฒนาการของสุนัข
ผู้ ที่เลี้ยงสุนัขตั้งแต่ตัวเล็กมักจะแปลกใจว่าเผลอเพียงแป๊ปเดียว สุนัข ของคุณก็เป็นหนุ่มเป็นสาวพร้อมที่จะผสมพันธุ์ให้กำเนิดลูกหลานกันแล้ว สุนัขแต่ละพันธุ์มีเวลาในการเป็นหนุ่มเป็นสาวไม่เท่ากัน บางพันธุ์ใช้ เวลาเพียง 6-8 เดือน บางพันธุ์ใช้เวลาปีหนึ่ง สุนัขพันธุ์ยักษ์อย่างเกรดเดน เซสต์เบอร์นาร์ดอาจต้องใช้เวลานานถึง 2 ปีกว่าที่จะถึงวัยเจริญพันธุ์ เราจะสังเกตความเป็นหนุ่มเป็นสาวของสุนัขเราได้จากตัวผู้จะมีลูกอัณฑะ 2 ลูก ส่วนตัวเมียจะมีอาการเป็นสัด(heat) มีเลือดออกมาจากอวัยวะเพศ พร้อมที่จะผสมพันธุ์กัน และให้กำเนิดลูกสุนัขตัวน้อยๆ ต่อไป

ช่วงระยะที่สุนัขเพศเมียเป็นสัด
ช่วง นี้สามารถสังเกตได้จากการเปลี่ยนแปลงในตัวสุนัขมากที่สุด อวัยวะเพศของสุนัขจะบวม และมีเลือดสีแดงเหมือนประจำเดือนของ ผู้หญิงไหลออกมาจากช่องคลอด เจ้าของสุนัขต้องทำใจเป็นอย่างมาก หากได้เลี้ยงสุนัขเพศเมียในตอนนี้ เพราะจะมีบรรดาสุนัขตัวผู้ หนุ่มใหญ่ หนุ่มเล็ก มาป้วนเปี้ยนพร้อมส่งเสียงเห่าหอนไม่ขาด ที่เป็นเช่นนี้ เพราะนอกจากมันจะมีเลือดไหลออกมาแล้ว ยังจะปล่อยสารพีโรโมน ออกมา เพื่อล่อให้ตัวผู้รู้ว่ามันกำลังใกล้จะถึงเวลาผสมพันธุ์แล้ว

ระยะเวลาที่ควรผสมพันธุ์
หาก ปล่อยให้สุนัขเดินเพ่นพ่านเมื่อเป็นสัดครั้งแรกก็มักจะถูกตัวผู้ต้อนและ ผสมพันธุ์ทันที แต่หากเราควบคุมได้ขอแนะนำว่าไม่ควรปล่อยให้ ผสมพันธุ์กันตอนเป็นสัดครั้งแรก เพราะร่างกายของสุนัขยังไม่เติบโต เต็มที่ ควรรอให้เป็นสัดครั้งที่ 2 ร่างกายของสุนัขมีความพร้อมมากกว่า เดิมจะดีกว่า สุนัขตัวผู้นั้นจะผสมพันธุ์ได้ตลอดเวลา อยู่ที่ว่าตัวเมียของ เรา จะพร้อมตอนไหนเท่านั้น

ขั้นตอนการอุ้มท้องของสุนัข
หลังจาก ที่สุนัขตัวเมียและตัวผู้ได้ผสมพันธุ์กันแล้ว ส่วนใหญ่จะทำให้ ตัวเมียตั้งท้อง อาการภายนอกที่เห็นก็คือท้องของสุนัขตัวเมียเริ่มใหญ่ขึ้น ทุกวันจนดูอุ้ยอ้าย นมทุกเต้าตั้งชันขึ้นจนถึงวันใกล้คลอดจะใหญ่คล้อย ลงมา สุนัขที่กำลังจะเป็นแม่มันจะรู้ตัวดีว่ามันควรปฏิบัติตัวอย่างไร เป็นต้นว่า กินมาก นอนบ่อย เราควรบำรุงครรภ์ของมันด้วยการให้อาหาร เป็นพิเศษ เสริมด้วยวิตามินบำรุงลูกของมัน ทั้งนี้ต้องได้รับคำปรึกษา จากสัตวแพทย์ใกล้บ้าน

สถานที่คลอดของสุนัข
พฤติกรรมของสุนัข ที่สำคัญในขณะ ที่กำลังใกล้ จะถึงวันคลอด แม่สุนัข จะพยายามเตรียมหาสถานที่ที่จะคลอดลูก ของมันไว้ล่วงหน้า ถ้าเราไม่ได้เตรียมที่ คลอดให้กับมัน มันจะเสาะหาเองโดยใช บริเวณที่ลับตาคน และสัตว์อื่น ทั่วไป เช่น ในโรงรถ โคนต้นไม้ใหญ่ ใต้ถุนบ้าน เพื่อเป็นการถูก สุขลักษณะ และป้องกันไม่ให้ลูกสุนัขได้รับอันตราย ควรเตรียมบ้าน ไว้ให้มัน โดยดัดแปลงจากกรงที่ใช้ขัง เสริมด้วยพื้นที่อ่อนนุ่ม และทำความ สะอาดง่าย เช่น ผ้ายาง เมื่อสังเกตเห็นว่าใกล้เวลาคลอดเต็มที่แล้วจึงนำ สุนัขท้องแก่ของเราไปขังไว้รอจนกว่ามันจะคลอดเสร็จ และเข้าที่เรียบร้อย จะให้มันออกได้
เมื่อสุนัขคลอดลูกออกมาแล้ว 
สุนัขโดยทั่วไปจะ คลอดลูก และจัดการทุกอย่างภายหลังจากการคลอด สำเร็จ ได้ด้วยตัวเอง แม้กระทั่งการทำความสะอาดลูกของมันทุกๆตัว จะมีปัญหาบ้างก็ตรงสุนัขเพิ่งท้องเป็นครั้งแรก ที่อาจจะไม่ชำนาญในการ ดูแลลูกอ่อน เราซึ่งเป็นเจ้าของมัน ต้องคอยหมั่นสังเกต และคอยช่วยดูแล อย่างห่าง ๆ มีไม่น้อยเหมือนกันที่สุนัขที่ท้องครั้งแรก มักจะช่วยชีวิต ลูกของมันไม่ได้ โดยทำไม่เป็นแม้กระทั่งการกัดรกให้ขาดหลังการคลอด สิ่งเหล่านี้ต้องอยู่ในความช่วยเหลือของเรา

ผ่าตัดช่วยเหลือสุนัขคลอดลูก

กรณี เช่นนี้เกิดขึ้นได้เช่นเดียวกับคน สุนัขท้องแก่บางตัวมีปัญหาที่ คลอดด้วยวิธีธรรมชาติไม่ได้ หากเจ้าของได้หมั่นเอาใจใส่ และนับวันเวลา ตั้งท้องของ มัน และสังเกตว่าเวลาที่มันจะคลอดเจ้าตัวเล็กๆออกมาแล้ว อย่านิ่งนอนใจ ควรนำสุนัขของเราไปให้สัตวแพทย์ตรวจ อาจจะมีปัญหาเกี่ยว กับลูกอ่อนที่อยู่ข้างในท้อง ถ้าเป็นไปได้ หมออาจจะตัดสินใจผ่าตัดเอาลูกในท้องออก ช่วยให้ปลอดภัย ทั้งแม่ และลูกได้

การฉีดวัคซีนให้ลูกสุนัข

ลูก สุนัขต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคตามระยะเวลาที่สัตวแพทย์กำหนด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคร้ายแรงและสร้งภูมิคุ้มกันให้กับลูกสุนัข เรามักจะเริ่มฉีควัคซีนเมื่อลูกสุนัขอายุได้ 6-8 เดือน ป้องกันโรคไข้หวัด อายุ 10 สัปดาห์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสลำไส้ อายุ 12 สัปดาห์ ฉีดวัคซีน ป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า อายุ 14 สัปดาห์ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หัดอีกครั้ง อายุ 16 และ 24 สัปดาห์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสลำไส้ และโรคพิษสุนัขบ้า อีกครั้ง เช่นเดียวกัน

อุปกรณ์เสริมสำหรับให้ยาและให้อาหารลูกสุนัข

ลูก สุนัขก็เหมือนทารกที่จะรอแต่ดื่มนมจากอกแม่ ของมัน ย่อมไม่เพียงพอแน่ เราควรจัดหาอุปกรณ์ สำหรับเลี้ยงดูลูกสุนัขที่ยังพึ่งตัวเองไม่ได้ เช่น กรวยยาสำหรับป้อนอาหารเหลว ขนมนมสำหรับ ป้อนนม สลิงฉีดยาสำหรับป้อนยา เป็นต้น
วิธีป้อนนมให้ลูกสุนัข

ลูกสุนัขที่ยังอ่อนมากๆลืมตายัง ไม่ได้ จำเป็นที่จะ ต้องได้รับอาหารที่เพียงพอ กรณีที่แม่ของมันคลอดลูกออกมามาก ทำให้มีน้ำนมที่จะเลี้ยงลูกไม่เพียงพอ เราต้องช่วยจัดหาน้ำนมเพิ่มให้มัน โดยใช้ขวดนมเด็กใส่น้ำนมเลี้ยงเด็กทารก ป้อนให้มันดูดกิน หากเป็นเด็กทารกการป้อนนมจากขวดต้องให้เด็กนอน หงาย แต่ลูกสุนัขควรให้มันอยู่ในท่ายืนหรือนอนคว่ำปกติ แล้วจึงป้อนนม จากขวดให้มันดื่มกินก็ได้

อาหารเสริมกับน้ำนมแม่
น้ำนมที่ใช้ เลี้ยงลูกสุนัขทั่วไปมีขายตามท้องตลาด ไม่ควรให้นมข้มหวาน เช่นเดียวกับที่ห้ามใช้ในเด็กทารก ถ้าเป็นไปได้การผสมนมให้ลูกสุนัขควร บีบน้ำนมจากแม่ของมันผสมกับนมกระป๋องสำหรับเลี้ยงลูกสุนัข เพื่อที่มัน จะได้คุ้นเคย และดื่มกินได้มากกว่าปกติ

อาหารสำหรับลูกสุนัข
ดัง ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า สุนัขก็ต้องการอาหารเช่นเดียวกับคน ยิ่งเป็นลูก สุนัขด้วยแล้วอาหารที่ให้มันต้องประกอบไปด้วยสารอาหารอย่างครบถ้วนเท่า ที่มันต้องการ เพื่อเสริมสร้างให้ร่างกายของมันได้เติบโตขึ้นมาเป็นสุนัขใหญ่ ที่สมบูรณ์อย่างเต็มที่

สุนัขที่สมบูรณ์จะซนเหมือนเด็ก
พฤติกรรมของ สุนัขเมื่อเติบโตมาได้ประมาณ 7-8 เดือน จะมีนิสัยซนมาก เหมือนกับเด็ก ยิ่งถ้าหากคลอกเดียวกับมัน มีพี่น้องที่โตไล่ๆกันมากกว่า1 ตัว ด้วยแล้วมันจะรวมกลุ่มกันทั้งกัด ทั้งวิ่งขับกันจนดูน่าเวียนหัวไปหมด พฤติกรรมที่มักเกิดขึ้นกับลูกสุนัขวัยนี้ก็คือ การชอบกัดแทะสิ่งต่างๆ ควรจัด หากระดูกที่ทำจากหนังอัดเพื่อให้พวกมันแทะโดยเฉพาะ ดีกว่าที่จะปล่อยให้ มันไปแทะขาโต๊ะ รองเท้า จนเสียหายไปหมด
แหล่งที่มา   กูเกิ้ลกูรู

Sunday, April 29, 2012

สุนัขไทยบางแก้ว (Bangkaew)


สุนัขไทยพันธุ์เดียวในประเทศไทยที่มีขนยาวสองชั้น หางเป็นพวง มีขน ขาหน้าคล้ายขนขาแข้งสิงห์แผงรอบคอคล้ายสิงโตมีความเฉลียวฉลาด

ประวัติสุนัขไทยพันธุ์บางแก้ว
ประวัติความเป็นมาของสุนัขไทยพันธุ์บางแก้ว จากข้อมูลที่ได้สอบถามจากประชาชนตลอดจนผู้เฒ่าผู้แก่ที่บ้าน บางแก้ว ตำบลท่านางงาม และบ้านชุมแสงสงคราม ตำบลชุมแสงสงคราม อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก พอจะสรุปได้ว่า แหล่งกำเนิดของสุนัขไทยพันธุ์บางแก้วนั้นอยู่ที่วัดบางแก้ว ตำบลท่านางงาม อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำยม สภาพภูมิประเทศทั่ว ๆ ไปนั้นยังคงเป็นป่าพง ป่าระกำ ป่าไผ่ และต้นไม้ชนิดต่าง ๆ ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นเหมาะสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าชนิดต่าง ๆ ชุกชุม เช่นช้างป่าเป็นโขลง ๆ หมูป่า ไก่ป่า สุนัขจิ้งจอก และหมาใน

หลวงพ่อมาก เมธาวี เป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ 3 ของวัดบางแก้ว ที่วัดของท่านเลี้ยงสุนัขไว้ ไม่ต่ำกว่า 20-30 ตัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสุนัขที่ดุขึ้นชื่อลือชา และชาวบ้านทราบกันดีว่า ใครที่เข้ามาในวัดแต่ละครั้งจะต้องตะโกนให้เสียงแต่ไกล ๆ เพื่อให้พระอาจารย์มาก เมธาวี ท่านช่วยดูหมาเอาไว้ก่อน มิฉะนั้นจะถูกมันไล่กัด ด้วยกิตติศัพท์ในความดุของสุนัขที่วัดบางแก้วนี้เอง จึงมีผู้คนนิยมมาขอลูกสุนัขไปเลี้ยงไว้เฝ้าบ้าน เฝ้าเรือน เฝ้าเรือ เฝ้าแพ เฝ้าวัว เฝ้าควาย พื้นที่ที่สุนัขไทยพันธุ์บางแก้วได้ขยายพันธุ์ไปมากที่สุดก็คือ ตำบลท่านางงามและตำบลชุมแสงสงคราม อำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก แต่ในปัจจุบันได้ขยายวงกว้างออกไปหลายจังหวัด


เหตุผลที่สันนิษฐานว่า สุนัขไทยพันธุ์บางแก้วเป็นสุนัขลูกผสมสามสายเลือด เพราะพื้นที่ในเขตตำบลท่านางงาม ตำบลชุมแสงสงคราม อำเภอบางระกำ ในอดีตนั้นเป็นป่าดงพงพีที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์ป่านานาชนิด รวมทั้งสุนัขจิ้งจอกและหมาในอาศัย อยู่เป็นจำนวนมาก โอกาสที่สุนัขจิ้งจอกและหมาในตัวผู้จะมาแอบลักลอบเข้ามาผสมพันธุ์กับสุนัข ไทยตัวเมียที่เลี้ยงไว้ในวัดบางแก้วนั้นมีความเป็นไปได้สูงมากทีเดียว เพราะสุนัขป่าทั้งหลายนี้เป็นสุนัขที่กล้าหาญชาญชัย ว่องไว ใจปราดเปรียว แข็งแรง ซึ่งเรื่องนี้ อาจารย์ท่านหนึ่งของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์[ต้องการอ้างอิง] ได้ตรวจโครโมโซมของสุนัขไทยพันธุ์บางแก้วแล้วพบว่ามีโครโมโซมของสุนัข จิ้งจอกปะปนในโครโมโซมของสุนัขไทยพันธุ์บางแก้ว ซึ่งเป็นการยืนยันทางวิทยาศาสตร์ว่าสุนัขไทยพันธุ์บางแก้วสืบเชื้อสายจาก สุนัขลูกผสมระหว่างสุนัขบ้านกับสุนัขจิ้งจอก สุนัขไทยพันธุ์บางแก้วจึงมีลักษณะดีเด่นปรากฏโฉมออกมาคือ มีขนยาว ขนมีลักษณะเป็นขนสองชั้นคล้าย หางเป็นพวงสวยงาม มีขนแผงคอคล้ายแผงคอสิงโต ดุ เฉลียวฉลาด มีไอคิวสูง ไม่แพ้สุนัขพันธุ์ต่างประเทศ มีความสวยงาม

มาตรฐานสายพันธุ์

มีขนปุยยาว มีความสง่างาม ว่องไวและแข็งแรง เวลายืนมักเชิดหน้าและโก่งคอคล้ายม้า เป็นสุนัขขนาดกลาง รูปทรงตั้งแต่ช่วงขาหน้าถึงขาหลังเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส อกกว้างและลึกได้ระดับกับข้อศอก ไหล่กว้าง ท้องไม่คอดกิ่ว หน้าแหลม หูเล็ก หางพวง ขนมีสองชั้น นิสัยรักเจ้าของ ฉลาดปราดเปรียว กล้าหาญ ค่อนข้างดุ สามารถฝึกหัดได้ ชอบเล่นน้ำมาก ขนาดเท่าสุนัขไทยทั่วไป หรือเล็กกว่าเล็กน้อย ไม่อ้วน ความสูงวัดที่ไหล่ ตัวผู้พ่อพันธุ์สูง 42-53 เซนติเมตร ตัวเมียแม่พันธุ์ 38-48 เซนติเมตร น้ำหนักตัวผู้ 14-16 กิโลกรัม ตัวเมีย 13-15 กิโลกรัม ลำตัว ช่วงตัวตอนหน้าใหญ่ ช่วงตัวตอนท้ายค่อนข้างเล็ก ลำตัวหนาปานกลาง อกลึกปานกลาง อกแคบ ยืดอกเวลายืน ส่วนเอวจะคอดน้อยกว่าหมาไทย ท้ายลาด สง่าเหมือนสุนัขจิ้งจอก ส่วนขา ขาหน้าจะใหญ่กว่าขาหลังเล็กน้อย ขาส่วนบนใหญ่และเรียวลงมาถึงข้อเท้า ตั้งตรงแข็งแรง ถ้าดูด้านข้างจะเห็นขนยาวเป็นเส้นตรงจากข้อเท้าด้านหลังขึ้นไปถึงข้อศอก เหมือนขาสิงห์ ขาหลังช่วงล่างมีทั้งตั้งตรงและเกือบตรง ช่วงบนด้านหลังจะมีขนยาว เป็นเส้นตรงขึ้นไปจนถึงโคนหาง เวลายืนท่าปกติจะรับน้ำหนักทรงตัวดี นิ้วเรียงชิดกัน ขนที่ปลายนิ้วยาวหุ้มเล็บ หัว กะโหลกใหญ่ ปากยาวแหลม คอยาวกว่าหมาไทยทั่วไป กะโหลกศีรษะและปากรับกันเป็นรูปสามเหลี่ยม หูเล็กสั้น ตั้งป้องไปข้างหน้า ปลายหูเบนไปข้างๆ เล็กน้อย โคนหูทั้งสองอยู่ห่างกันมากกว่าสุนัขพันธุ์อื่น ๆ จึงใช้เป็นจุดเด่นในการสังเกตว่าเป็นสุนัขบางแก้ว ภายในหูมีขนปรายปิดรูหูอย่างสีดำมีแววของความไม่เชื่อใจใครง่ายๆ ขณะโกรธหรือขู่จะขึ้นแววฟ้า ใสแววที่เรียกกันว่า ตาเขียว จมูกสีดำ ฟันซี่เล็กข่าวคม มีเขี้ยวข้างบน 2 ล่าง 2 ลิ้นเป็นสีชมพู ส่วนมากไม่มีปานดำเหมือนสุนัขไทยทั่วไป ขนสองชั้น หนา ชั้นล่างละเอียดอ่อนนิ่ม ขนชั้นบนยาวเป็นเส้น เมื่อยังเล็กจะมีขนยาวปุกปุยแน่นทั่วตัว แต่เมื่อโตขึ้นจะมีขนยาวปานกลางแน่นทั้งตัว ขนที่กลางหลังตั้งแต่แผงคอไปยังโคนหางจะยาวกว่าขนบริเวณอื่น ๆ มีแผงขนเป็นชั้นช่วงสันหลัง เวลาโกรธจะฟูยกให้เห็นชัดเจน ด้านล่างจากข้อเท้าตอนล่างถึงโคนขาตอนบนจะมีขนยาวฟูพอประมาณ หางต้องเป็นพวง ถือเป็นลักษณะเด่นที่สืบทอดมาจากสุนัขจิ้งจอก

ลักษณะใบหน้า

1. ลักษณะหน้าเสือ ใบหน้าดูคล้ายเสือ มีกะโหลกศีรษะใหญ่ หน้าผากกว้าง โคนหูตั้งอยู่ห่างกัน หูเล็กแบะออกเล็กน้อย แววตาเซื่องซึม พื้นสีตามักจะเป็นสีเหลืองทองคล้ำ ม่านตาตรงกลางสีดำ มีขนย้อยจากโคนหูด้านล่างเป็นแผงที่คอ เรียกว่า แผงคอ แต่ไม่รอบคอ ขนมีทั้งฟูและไม่ฟู มีหางเป็นพวง ทั้งหางงอ และหางม้วน แลดูดุร้าย

2. ลักษณะหน้าสิงโต มีกะโหลกศีรษะเล็กกว่าลักษณะหน้าเสือ หูเล็กเป็นรูปสามเหลี่ยม ป้องไปข้างหน้ารับกับใบหน้าอย่างสวยงาม ปากไม่เรียวแหลมมาก ไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป มีขนยาวตั้งแต่โคนหูลงมาด้านล่าง เป็นแผงรอบคอ และมีขนเป็นเคราจากใต้คางย้อยลงมาเหมือนคอพอกลงมาถึงคอด้านล่าง ที่บริเวณรอบลำคอมีขนยาวโดยรอบ มีทั้งขนสั้นฟูและฟูยาว เมื่องมองจากดานหน้าจะมีลักษณะคล้ายสิงโต ลักษณะเท้ายาวอูม ขนยาวหุ้มปลายเท้าเล็กน้อย มองดูคล้ายเท้าหมี ขนมีทั้งยาวฟู สั้นฟู หางมีทั้งม้วนสูงและม้วนต่ำ เป็นพวงและไม่เป็นพวง ช่วงตอนหน้าใหญ่ตอนท้ายเล็ก ยามปกติแววตาและท่าทางเซื่องซึม แต่เมื่อเป็นศัตรูปรือคนแปลกหน้า จะเปลี่ยนเป็นดุร้ายและคล่องแคล่วว่องไวทันที ลักษณะหน้าสิงโตเป็นลักษณะที่หายากมาก นาน ๆ จึงจะพบเห็นสักตัวหนึ่ง

3. ลักษณะหน้าจิ้งจอก มีใบหน้าแหลม หูใหญ่กว่าลักษณะหน้าเสือและหน้าสิงโต ใบหูไม่ตรงโย้ออกด้านข้าง มองดูเป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า ปากแหลมเรียวและค่อนข้างยาว ขนอ่อนยาวเรียบ ขนหางเป็นพวง รูปร่างมีทั้งใหญ่ กลางและเล็ก อุปนิสัยไม่ค่อยดุร้ายเหมือนสองพวกแรก

แหล่งที่มา : วิกิพิเดีย

Saturday, April 28, 2012

ปอมเมอเรเนียน (Pomeranian)



หากพูดถึง สุนัข ตัวเล็กๆ ขนฟูๆ หางเป็นพวง จมูกแหลมๆ ตาแป๋วเป็นประกาย แน่นอนว่าสุนัขที่ว่านี้คือพันธุ์ ปอมเมอเรเนียน  ที่ไม่ว่าใครเห็นเป็นต้องขอจับ ขอสัมผัส ความน่ารักกันใกล้ๆ แต่ที่เห็นน่ารัก ดูบอบบางเหมือนคุณหนูแบบนี้ แท้จริงแล้ว ปอมเมอเรเนียน มีต้นตระกูลมาจาก สุนัข ลากเลื่อนของประเทศไอซ์แลนด์และเลปแลนด์ บริเวณตอนเหนือของทวีปยุโรปโน่นแน่ะ

          ปอมเมอเรเนียน เป็น สุนัข ที่ชอบเอาใจใส่กับสิ่งภายนอก เฉลียวฉลาด เหมาะสำหรับเลี้ยงเป็นเพื่อนพอๆ กับเลี้ยงเพื่อการแข่งขัน ชื่อของ ปอมเมอเรเนียน มาจาก Pomeranian ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศโปแลนด์และประเทศเยอรมันตะวันออก เหนือแถบทะเลบอลติก โดยแต่เดิมนั้น ปอมเมอเรเนียน เป็น สุนัข พันธุ์ใหญ่ที่ใช้ลากเลื่อนและเฝ้าฝูงแกะ มีรายงานว่า ปอมเมอเรเนียน ที่ถูกนำเข้ามาในอังกฤษตัวแรกมีน้ำหนักถึง 30 ปอนด์ แต่ต่อมาได้มีผู้ผสมพันธุ์ ปอมเมอเรเนียน ให้มีขนาดเล็กลงเพื่อเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนคู่ใจแทนการใช้งาน

          ทั้งนี้ ปอมเมอเรเนียน เริ่มเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เมื่อสมเด็จพระราชินี วิคเตอเรีย แห่งอังกฤษ ทรงไปพบ สุนัข พันธุ์นี้และนำกลับมาเลี้ยงในพระราชวังด้วย ซึ่งมีเรื่องเล่ากันว่าควีนวิคตอเรียทรงโปรด สุนัข ปอมเมอเรเนียน มาก แม้กระทั่งวันที่สิ้นพระชนม์ยังทรงให้เอาเจ้า Turi สุนัข ปอมเมอเรเนียน ตัวโปรดมาไว้ข้างพระแท่นบรรทม และเจ้า Turi นี้ก็ได้นอนเฝ้าอยู่จนควีนสิ้นพระชนม์ จึงทำให้พระองค์ได้รับการยกย่องว่าทรงเป็นผู้ที่ทำให้สาธารณชนรู้จักและนิยม เลี้ยง ปอมเมอเรเนียน ตัวเล็ก

          อย่างไรก็ตาม ปอมเมอเรเนียน ที่ถูกพัฒนาจนเล็กลงอย่างที่นิยมเลี้ยงกันอยู่ในปัจจุบัน เป็นผลงานการพัฒนาของนักผสมพันธุ์ สุนัข ชาวอเมริกา จึงไม่น่าแปลกใจที่ ปอมเมอเรเนียน สายพันธุ์จากอเมริกาได้รับการยอมรับให้เป็นสายพันธุ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด 



ลักษณะสายพันธุ์สุนัขปอมเมอเรเนียน

          ปอมเมอเรเนียน เป็น สุนัข ที่มีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 4-6 ปอนด์ หรือราว 1.7-2.5 กิโลกรัม ถ้านำหนักน้อยหรือมากกว่านี้ จะถือว่าไม่ได้มาตรฐานสายพันธุ์  เป็น สุนัข ที่ว่องไวปราดเปรียว มีขนชั้นในที่แน่นและนุ่ม และมีขนชั้นนอกที่หยาบกว่าชั้นใน หางสวยงามเป็นพวงขน และตั้งอยู่ในตำแหน่งที่สูง หางจะขนานไปกับหลัง โดยลักษณะนิสัยพื้นฐานของ ปอมเมอเรเนียน นี้ คือ จะตื่นตัวเสมอ เห่าเก่ง  มีนิสัยอยากรู้อยากเห็น อวดดี สง่างาม และขณะก้าวย่างแสดงถึงความมีชีวิตชีวา เป็นพันธุ์สมบูรณ์ทั้งรูปร่างและการเคลื่อนไหว

ศีรษะ 
ศีรษะจะสมดุลได้สัดส่วนกับลำตัว จมูกยาวเล็กน้อย ตรง มองเห็นชัดเจน ปลายจมูกเชิดเป็นอิสระจากริมฝีปาก การแสดงออกของใบหน้าจะสดใส ร่าเริง คล้ายใบหน้า สุนัข จิ้งจอก หรืออีกนัยหนึ่งคือใบหน้าที่ฉลาดแกมโกง เจ้าเล่ห์ กะโหลกจะปิดสนิท ด้านบนสุดของกะโหลกจะกลมเล็กน้อย แต่ไม่เป็นรูปโดมซะทีเดียว เมื่อมองจากด้านหน้าและด้านข้าง จะเห็นใบหูที่ค่อนข้างเล็ก เชิดสูงและตั้งตรงเสมอ เมื่อลากเส้นผ่านปลายจมูกไปยังตรงกลางตาไปยังปลายหูจะได้เส้นตรง นัยน์ตาเป็นสีดำ แววตาสดใสรูปร่างอัลมอนด์ ขนาดปานกลางตั้งอยู่ในตำแหน่งตัวกับกะโหลก นัยน์ตาค่อนข้างชัดเจน ขอบตาและจมูกต้องเป็นสีดำ ยกเว้น ปอมเมอเรเนียน สีน้ำตาล และสีน้ำเงิน (เทา) ฟันสบกันแบบกรรไกร ถ้ามีฟันซี่ใดซี่หนึ่งไม่ตรงก็ยอมรับได้

ลำตัว ลำคอ
ลำคอสั้น โดยศีรษะแทบจะติดกับไหล่ ส่วนหลังนั้น ลำตัวกระชับและกะทัดรัด มีซี่โครงและช่วงอกที่ทำงานได้ดี โดยยื่นไปถึงข้อศอก หางดีเป็นพวง เป็นลักษณะเฉพาะพันธุ์ โดยจะขนานไปกับลำตัวส่วนหลัง

ลำตัวส่วนหน้า
ลำตัวส่วนหลังจะเป็นตัวชูให้ลำคอ และศีรษะอยู่สูง แสดงถึงความผ่าเผย ไหล่และขามีกล้ามเนื้อปานกลาง ความยาวของใบไหล่ และต้นแขนจะเท่ากัน ขาหน้าจะตรงและขนานกับความสูงจากศอกถึงตะโหนก เท่ากับความสูงจากศอกถึงพื้น ข้อเท้าตรงและแข็งแรง เท้าได้รูปหุบสนิท ไม่บิดเข้าหรือบิดออก ขณะยืนจะรับน้ำหนักตัวได้ดี อาจต้องมีการตัดนิ้วติ่ง

ลำตัวส่วนท้าย
มุมของลำตัวส่วนท้ายจะสมดุลกับลำตัวส่วนหน้า สะโพกสวย ต้นขามีกล้ามเนื้อปานกลาง ข้อเท้าบิดเล็กน้อย ข้อเท้าได้ฉากกับพื้น และขาจะตรงและขนานกับอีกข้าง ขอบเท้าชัดเจน เท้าหุบสนิท ไม่บิดเข้าหรือบิดออก สุนัขยืนอยู่บนนิ้วเท้าได้อย่างดี อาจต้องมีการตัดนิ้วติ่ง

การก้าวย่าง และเคลื่อนไหว
ปอมเมอเรเนียน มีการเคลื่อนไหวที่นุ่มนวล เป็นอิสระ สมดุลและกระฉับกระเฉง มีแรงส่งตัวไปด้านหน้าได้ดี เพราะมีแรงขับจากลำตัวส่วนท้าย ขาหลังจะเดินตามรอยขาหน้าในข้างเดียวกัน เป็นการเดินและเคลื่อนไหวที่สมดุล ขณะเคลื่อนไหวจะไม่มีการเหวี่ยงเท้าเข้าหรือออกจากลำตัว ลำตัวด้านบนยังคงได้ระดับ ซึ่งดูแล้วลักษณะทั้งหมดจะสมดุล

ขนและสีขน
ปอมเมอเรเนียน เป็น สุนัข ที่มีขนสองชั้น ขนชั้นในนิ่มและแน่น ขนชั้นนอกจะยาวตรงหยาบกว่า แต่จะส่องแสงแวววาว ขนชั้นในจะหนาเพื่อปกป้องลำตัวของ สุนัข โดยขนจะแน่นตั้งแต่ลำคอ ไหล่ และอก ขนชั้นนอกบริเวณไหล่ อก ค่อนข้างมาก ขนบริเวณศีรษะและขาจะน้อยและสั้นกว่าส่วนอื่น (โดยเฉพาะลำตัวและไหล่จะยาวที่สุด) ลำตัวส่วนหน้าจะมีขนปกคลุมไปจนถึงข้อเท้าหางจะมีขนชั้นนอกที่ยาว แข็ง ปกคลุม อาจต้องมีการตัดเล็มขนบ้างซึ่งยอมรับได้

          ส่วนมีสีขนของ ปอมเมอเรเนียน จะมีหลายสี หลายแบบ เช่น ดำและน้ำตาล สีผสมหรือสีทองออกส้ม สีขาว ที่มีสีอื่นร่วมบริเวณศีรษะ หรืออีกประเภทที่เรียกว่า open elasses คือจะมีสีแดง สีส้ม สีครีม สีดำ สีน้ำตาล สีเทา เป็นต้น
อาหารและการเลี้ยงดู ปอมเมอเรเนียน
          การดูแลขนของ ปอมเมอเรเนียน ต้องได้รับการแปรงขนทุกวันหรืออาทิตย์ละสองครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อที่จะให้ขนที่หนาและสวยไม่พันกัน ขนของ ปอมเมอเรเนียน ต้องการการเล็มบ้างแค่ครั้งคราว ส่วนการดูแลหูและเล็บเป็นประจำเป็นสิ่งที่แนะนำรวมกับการอาบน้ำ อย่างไรก็ตาม ไม่ควรอาบน้ำให้ ปอมเมอเรเนียน บ่อยมากจนเกินไป เพราะการอาบน้ำบ่อยจะทำให้หนังและขนเแห้งจนเกินไป เนื่องจากน้ำมันที่จำเป็นถูกล้างออกไปหมด

          นอก จากการดูแลขนแล้ว สิ่งที่สำคัญที่มากที่สุดสำหรับ สุนัข ปอมเมอเรเนียน คือการได้รับการดูแลสุขภาพปากและฟันเป็นอย่างดี เนื่องจาก ปอมเมอเรเนียน ง่ายต่อการสูญเสียฟันอันเนื่องมาจากปัญหาฟันผุ หรือสุขภาพเหงือกไม่ดี จึงต้องมั่นทำความสะอาดฟันให้เป็นประจำ และควรให้อาหารชนิดแห้งเพื่อลดปัญหาสุขภาพปากและฟัน

โรคและวิธีป้องกัน
 
          สุนัข แต่ละพันธุ์มีโรคประจำที่แตกต่างกันออกไป เช่น สุนัข พันธุ์โกลเด้น ก็มีปัญหาโรคข้อสะโพกเสื่อม สุนัข พันธุ์คอกเกอร์ สเปเนียล ก็พบปัญหาเรื่องโรคหูอักเสบ สุนัข พันธุ์พุดเดิ้ลก็มีปัญหาโรคหัวใจโต สุนัข พันธุ์ดัลเมเชี่ยนก็เจอโรคหูหนวก สุนัข พันธุ์ดัชชุน ก็มีปัญหาโรคหมอนรองกระดูก ฯลฯ ปอมเมอเรเนียน ก็มีปัญหาเหมือนกัน โดยมี 4 โรคที่ ปอมเมอเรเนียน พึงสังวรไว้ คือ

          โรคลูกสะบ้าเคลื่อน โรคนี้พบได้บ่อยสุด คือ มีอาการเจ็บเข่าจนต้องยกขาไม่ลง ถ้าไม่เป็นมาก ก็รักษาด้วยการกินยา แต่ถ้าเป็นมากต้องพึ่งหมอผ่าตัด  อย่างไรก็ดี โรคนี้ป้องกันได้โดยอย่าปล่อยให้ ปอมเมอเรเนียน ของเราอ้วนเกินไป และคอยดูแลไม่ให้เขาหล่นหรือโดดลงจากที่สูง ส่วนสถานที่ที่เลี้ยงนั้นไม่ควรเป็นพื้นลื่นจำพวกกระเบื้อง พื้นหินขัด,หินอ่อน หรือแกรนิต ที่สำคัญไม่ควรปล่อยให้ ปอมเมอเรเนียน ที่มีปัญหาลูกสะบ้าขยายพันธุ์

          โรคหลอดลมตับ เป็น อีกโรคมักพบบ่อยๆ ใน ปอมเมอเรเนียน อาการที่พบ คือ ไอแห้งๆ เสียงดังมาก ซึ่งพบบ่อยเวลาที่ตื่นเต้นหรืออากาศเย็น ดังนั้น จึงอย่าปล่อยให้มันอ้วนเกินไป และพยายามอย่าให้เขาอยู่ในที่ที่อากาศร้อนและชื้นเกินไป และที่สำคัญเวลาจูงเดินเล่นควรใช้สายจูงชนิดสายรัดอก แทนสายจูงกับปลอกคอหรือโซ่คอ

          ขนร่วง ปัญหาโรคขนร่วงที่พยบ่อยใน ปอมเมอเรเนียน ก็คือโรค Black Skin หรือ BSD ซึ่งทำให้ผิวหนังไม่มีขนและมีจี้ดำ เกิดจากหลายสาเหตุรวมกัน เช่น โรคไทรอยด์ต่ำ,ZEMA,ไรขี้เรื้อนและเชื้อรา ซึ่งวิธีแก้ไข คือ ควรรีบพา สุนัข ที่มีปัญหาโรคผิวแห้งไปพบสัตว์แพทย์โดยเร็ว

          โรคหนังตาม้วนเข้า โรคนี้สามารถพบใน สุนัข ปอมเมอเรเนียน แต่ไม่พบบ่อยเหมือน สุนัข พันธุ์เชาว์-เชาว์ หรือชาร์ไป ซึ่งวิธีแก้ไขคือต้องทำการผ่าตัดโดยสัตวแ

Thursday, April 26, 2012

ปั๊ก (Pug)


หมาปั๊ก Puggy ตูบหน้าบี้... หน้าทะเล้นท์

ในปัจจุบัน คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักสุนัขสายพันธุ์ปั๊กเป็นแน่ เนื่องด้วยกระแสความนิยมในสุนัขสายพันธุ์นี้ที่เริ่มมีมากขึ้นอย่างต่อ เนื่อง จะด้วยอุปนิสัยน่ารักน่าเลี้ยงก็ดี หรือจะด้วยรูปร่างหน้าตาที่เป็นเอกลักษณ์ มองอย่างไรก็ไม่เบื่อ ชวนให้หัวเราะแล้วอารมณ์ดีทุกคราที่มองปั๊กน้อย สิ่งเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุผลที่ทำให้คนไทยหันมาเลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้มากขึ้นตาม ลำดับ

          ด้วยความร่าเริงที่ไม่เหมือนใคร หน้าตาแลดูฉงนปนทะเล้น และอารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา ทำให้ปั๊กไม่เพียงแต่เป็นที่นิยมเลี้ยงในประเทศไทยเท่านั้น หากแต่ยังแพร่หลายมากขึ้นทั่วโลกอีกด้วย 


มาตรฐานสายพันธุ์

ถิ่นกำเนิด    ประเทศจีน
กลุ่ม   Toy
หัว  หัวกะโหลกมีลักษณะกลม ขนาดใหญ่ หนังบริเวณหน้าผากมีรอยย่นมาก
หู  ขนาดเล็ก ใบหูค่อนข้างบาง มีหู 2 ชนิด คือหูตูบแบบบูลด็อก และหูพับแบบลูกกระดุม แต่จะนิยมหูพับมากกว่า
ตา  ดวงตากลมโต สีเข้ม
ปากสั้น  รูปทรงสี่เหลี่ยมจตุรัส กรามล่างจะยื่นออก
จมูก  สั้น สีดำ
ฟัน  ขบกันแบบกรรไกร
ลำตัว  สั้น หลังตรง ล่ำสัน และมีกล้ามเนื้อแข็งแรง
คอ  สั้น โค้งเล็กน้อย
อก  กว้าง
ขา  ขาหน้าเหยียดตรง เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ความยาวปานกลาง เท้าไม่กลมเหมือนเท้าแมว เล็บสีดำ
หาง  หางชี้ขึ้นด้านบน แต่ลักษณะม้วนเป็นวงจนติดบั้นเอว หากม้วนได้ 2 รอบ ถือว่าเป็นลักษณะที่สมบูรณ์
ขน  สั้นละเอียดเป็นประกาย ไม่ปุกปุย
สี  สีน้ำตาลแบบลูกวัว สีเงิน หรือสีดำ มีาร์คกิ้งสีดำที่หน้าและใบหู
ขนาด  สูง 10-11 นิ้ว น้ำหนัก 6.5 - 8.2 กิโลกรัม
การเดิน และการวิ่ง  คล่องแคล่ว ปราดเปรียว
ลักษณะที่ถือว่าบกพร่อง  หัวกะโหลกเล็ก ช่วงปากยาว ตาเล็ก รอยย่นเห็นไม่ชัด
ช่วงชีวิตเฉลี่ย  12 - 14 ปี

7 ก้าวเดินตามรอยเท้า... หมาปั๊ก

ก้าวที่ 1 : กว่าจะมีวันนี้

          สุนัขพันธุ์ปั๊กเป็นสุนัขที่เก่าแก่สายพันธุ์หนึ่ง มีกำเนิดมาจากประเทศจีนมาตั้งแต่ 400 ปี ก่อนคริสตกาล ในสมัยโบราณนิยมเลี้ยงไว้ในวัดจีน ต่อมาเริ่มมีการนำออกไปยังสถานที่ต่าง ๆ ก่อนจะเริ่มแพร่หลายไปยังหลาย ๆ ประเทศในแถบทวีปยุโรป

          ในประเทศฮอลแลนด์ สุนัขสายพันธุ์ปั๊กได้รับการยอมรับ และให้เกียรติเป็นอย่างมากเนื่องจากในอดีตมีสุนัขพันธุ์นี้ตัวหนึ่ง เคยช่วยชีวิตของเจ้าชายวิลเลียม โดยการเตือนให้พระองค์ทรงทราบว่าทหารของกองทัพของสเปนได้แอบลอบเข้ามาใกล้ แล้วนั่นเอง

          ส่วนในประเทศฝรั่งในปี ค.ศ.1790 พระมเหสีของนโปเลียน ผู้นำประเทศฝรั่งเศสในยุคนั้นได้ซ่อนจดหมายไว้ที่ปลอกคอของปั๊ก  แล้วให้มันนำไปแจ้งข่าวสารต่อนโปเลียน เพื่อบอกกับนโปเลียนว่าพระนางถูกจับขังไวที่ Les Carmes

          จากวีรกรรมทั้งหลายทั้งมวลเหล่านี้เอง ทำให้สุนัขพันธุ์นี้เริ่มเป็นที่นิยมกันมากขึ้น ก่อนจะถูกพัฒนาสายพันธุ์จนกลายเป็นรูปแบบของปั๊กที่สมบูรณ์แบบในประเทศ อังกฤษ ต่อมา ปั๊ก เริ่มเป็นที่นิยมในประเทศอังกฤษมากขึ้น แต่จากจำนวนของสุนัขในกลุ่มทอยอื่น ๆ ที่ทวีจำนวนขึ้น ทำให้ความนิยมในตัวปั๊ก เริ่มลดลงตามลำดับ จนเกือบจะสูญพันธุ์ไปจากประเทศอังกฤษ ซึ่งในขณะนั้นเองพระเจ้าจอร์จที่ 3 ได้ทรงนำเข้าปั๊กจากประเทศฮอลแลนด์และออสเตรีย ทำให้เขาสามารถช่วยดำรงสายพันธุ์ปั๊กไว้ในประเทศอังกฤษมาจนถึงปัจจุบัน


 
ก้าวที่ 2 : ลักษณะทั่วไปของ หมาปั๊ก

          ปั๊ก เป็นสุนัขพันธุ์เล็ก มีขนาดร่างกายเล็กปานกลาง หน้าสั้นและย่นแลดูทะเล้นน่ารัก ใบหูพับตก และมีขนสั้นเกรียน หางมีลักษณะบิดเป็นเกลียวชี้ขึ้นม้วนจนเป็นวงติดกับบั้นเอง ถ้าหางหางม้วนได้ถึงสองตลบจัดว่าเป็นลักษณะที่สวยสมบูรณ์ที่สุด หายใจและกรนเสียงดัง

          สำหรับสัดส่วนของ หมาปั๊ก ถูกผสมพันธุ์ออกมาจนได้รูปร่างที่กะทัดรัดเป็นสี่เหลี่ยมจัดตุรัส ตัน และมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง หัวมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ชิดขึ้นเล็กน้อย ตากลมยื่นออกมาแลดูอ่อนโยน มีสีดำเป็นประกาย หูสั้นตกลงข้างหัว มีความนุ่มคล้ายกำมะหยี่ คอสั้นโค้งเล็กน้อย ขาหน้าเหยียดตรง มีขนสั้นละเอียดเป็นประกาย มีสีเหลืองแอปริคอท มีมาร์คกิ้งสีดำที่หน้าและใบหู

          สุนัข พันธุ์นี้เป็นที่นิยมเลี้ยงกันมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีนิสัยน่ารัก ถึงหน้าตาของเขาจะดูเหมือนคิดมากไปสักหน่อย แต่ถ้าได้ลองเลี้ยงแล้วจะหลงใหลไม่รู้ตัว เพราะความอ่อนโยนของมัน ข้อควรระวังในการเลี้ยงคือสภาพอากาศที่ร้อน ปั๊กจะทนไม่ค่อยได้ ถ้าทนไม่ไหวอาจเป็นลมแดดได้ และถ้าอากาศเย็นควรให้อยู่ในที่อุ่น ๆ หรือหาเสื้อมาสวมให้เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นหวัด


ก้าวที่ 3 : เกาะติดนิสัย หมาปั๊ก

          ธรรมชาติของ หมาปั๊ก จะเป็นสุนัขที่มีลักษณะเป็นมิตร ปราดเปรียว ว่องไว อารมณ์ดี อยากรู้อยากเห็น ชอบเข้าสังคม มีความนุ่มนวล แต่บางครั้งอาจมีความตื่นตัวและมีพละกำลังในการเล่นมาก ไม่ชอบทะเลาะเบาะแว้งกับสุนัขตัวอื่น ๆ มีความซื่้อสัตย์ต่อเจ้าของ ชอบพบปะทักทายกับคน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของหรือคนแปลกหน้า มีความฉลาดในระดับปานกลาง

          แม้จะเป็นสุนัขสายพันธุ์ที่ชอบเข้าสังคม แต่ปั๊กก็เป็นสุนัขที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ดื้อรั้น แต่เข้มแข็ง มันมีนิสัยชอบเอาชนะ และเด็ดเดี่ยวมากพอตัวทีเดียว

ก้าวที่ 4 : ความต้องการการดูแลเอาใจใส่

          โดยส่วนมากสุนัขพันธุ์นี้จะขี้เกียจ หากปล่อยให้อยู่ตามลำพังหรือไม่มีอุปกรณ์ฝึกเขา จึงควรพาเขาไปเดินเล่นหรือเล่นเกมโยนของไปให้เขาเก็บทุกวัน แต่อย่าให้เขาออกกำลังกายหนัก ๆ ในช่วงที่มีอากาศร้อน หรือหลังกินอาหารเสร็จ

          แม้สุนัขพันธุ์นี้จะไม่ต้องการการดุแลเสริมสวยให้ยุ่งยากมากนัก แต่ก็จำเป็นต้องได้รับการรักษาความสะอาดทุกวัน อีกทั้งการดูแลเอาใจใส่ในเรื่องของการออกกำลังกาย ก็เป็นสิ่งสำคัญ ถึงแม้ปัก๊กจะไม่ใช่สุนัขที่รักกีฬา แต่การพาเขาไปออกกำลังกายให้พอเพียง ก็จะช่วยให้เขาไม่อ้วนและกลายเป็นสุนัขที่เฉื่อยชาจนเกินไป


ก้าวที่ 5 : ผู้เลี้ยงที่เหมาะสม

          เจ้าของที่สมบูรณ์แบบของ หมาปั๊ก จะต้องมีอุปนิสัยอ่อนโยน คอยดูแลเอาใจใส่เขา เหมาะมากสำหรับเจ้าของที่ชอบความสงบเงียบ และคนที่ต้องการสุนัขที่เลี้ยงไม่ยาก สำหรับบ้านที่มีพื้นที่เพียงเล็กน้อย ผู้ที่อาศัยอยู่ในหอพักหรือคอนโดมิเนียมก็สามารถเลี้ยงปั๊กได้อย่างสบาย ๆ เนื่องจากรูปร่างที่เล็ก ไม่ใหญ่เทอะทะ ทำให้ปั๊ก ไม่ต้องการพื้นที่เลี้ยงดูมากนัก 
ก้าวที่ 6 : ข้อควรระวัง

          เนื่องจากรูปทรงของตาและใบหน้าทำให้สุนัขสายพันธุ์นี้มีแนวโน้มที่จะเกิดการ บาดเจ็บที่ตาได้ง่าย ถ้าปั๊กของคุณกำลังถูตาอยู่ กระพริบตาถี่ ๆ มีน้ำตาไหลมากเกิน หรือตามีการเปลี่ยนสีไป ควรปรึกษาสัตวแพทย์ของคุณโดยทันที และการที่เป็นสุนัขจมูกสั้น เขาจึงมักมีปัญหาเกี่ยวกับเพดานปากอ่อน จึงจำเป็นต้องตรวจสอบอยู่เสมอ

          นอกจากนี้ ปั๊กยังมีความเสี่ยงที่จะอ้วนได้ง่าย ดังนั้น การควบคุมปริมาณอาหารและการออกกำลังกายจึงเป็นสิ่งจำเป็น โครงสร้างกะโหลกศีรษะที่สั้น ส่งผลให้ปั๊ก มักมีปัญหาระบบทางเดินหายใจส่วนต้น โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงหรือภายหลังการออกกำลังกายอย่าง หนัก จึงควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่มากเกินไป และการเลี้ยงดูในสถานที่ที่มีอุณหภูมิสูง 



ก้าวที่ 7 : โรคและความผิดปกติที่พบได้

          ความผิดปกติต่าง ๆ ของนัยน์ตา เช่น หนังตาม้วน โรคตาแห้ง กระจกตาอักเสบ แผลหลุมบริเวณกระจกตา

          ความผิดปกติของระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ กลุ่มอาการผิดปกติของท่อทางเดินหายใจส่วนต้น ในสุนัขสายพันธุ์ที่มีใบหน้าสั้น

          ระบบทางเดินสืบพันธุ์ ได้แก่ ภาวะคลอดยาก เนื่องจากขนาดหัว และช่วงไหล่ของลูกสุนัขมีขนาดใหญ่นั่นเอง



แหล่งที่มา  กระปุกดอทคอท (Dogazine)
เครดิตภาพ  
https://twitter.com/cutestpug




ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ (Labrador Retriever)


 

        ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ (Labrador Retriever) เป็นสุนัขพันธุ์หนึ่งที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก สุนัขพันธุ์นี้คล้ายคลึงกับโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ (Golden Retriever) ต่างกันที่ความยาวของขนและขนาดของกล้ามเนื้อลำตัว โดยลาบราดอร์จะมีขนที่สั้นกว่า เป็นสุนัขที่ฉลาดหลักแหลม กระตือรือร้น รักสนุก ช่างเอาอกเอาใจ เป็นสายพันธุ์ที่เหมาะกับครอบครัวที่มีเด็ก เพราะมีนิสัยเป็นมิตร

        
  ทั้งนี้ ลาบราดอร์ มีจุดเด่นในเรื่องของความฉลาด มีคุณสมบัติในการตามกลิ่นได้เป็นเยี่ยม ลาบราดอร์ จึงมักถูกเลือกมาฝึกเพื่อใช้ในงานข้าราชการ ดังภาพที่เราจะเห็นเป็น สุนัข ตำรวจหรือ สุนัข กู้ภัย หรือกระทั่งใช้นำทางคนตาบอด

          ชื่อสายพันธุ์ ลาบราดอร์ ได้มาจากแหล่งต้นกำเนิดของสุนัขพันธุ์นี้ คือ คาบสมุทร ลาบราดอร์ ประเทศแคนาดา แต่เดิมนั้นชาวประมงจะใช้ สุนัข ลาบราดอร์ ในการเก็บเหยื่อ จำพวกปลาที่หลุดออกจากเบ็ดหรือแห หรืออาจจะใช้ให้ไปคาบเป็ดป่าที่ถูกยิงตกลงไปบนน้ำที่เย็นเฉียบ

          ในปี พ.ศ.2378 มีผู้นำ สุนัข ลาบราดอร์ ลงเรือหาปลาไปขึ้นฝั่งที่ประเทศอังกฤษ จึงทำให้มีผู้พัฒนาสายพันธุ์มาเป็น สุนัข ล่าเหยื่อ และยังถูกใช้เป็น สุนัข กู้ภัยด้วย เพราะสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วแม้ในภูมิประเทศที่ขรุขระ หรือแม้กระทั่งพื้นที่ที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็ง สุนัข ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องความอดทน เข้มแข็ง มีความสามารถในการดมกลิ่นดีเยี่ยม มีความปรารถนาจะเอาใจผู้อื่นอีกด้วย และเป็น สุนัข ที่ขี้เล่นกับเจ้าของมาก
 
ลักษณะสายพันธุ์ของ สุนัข ลาบราดอร์

          ลาบราดอร์ จะมีขนสองชั้น ชั้นนอกสั้น เหยียดตรง และแน่น ขนชั้นในนุ่มและช่วยปกป้องจากสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายได้ดี สีขนเป็นสีดำ สีเหลือง หรือสีช็อคโกแลต บางครั้งอาจมีจุดขาวบริเวณหน้าอก หางของ ลาบราดอร์ ดูคล้ายหางของตัวนาก โคนหางจะหนาและเรียวลงจนถึงปลายหาง

         
ส่วนนิสัย "ลาบราดอร์" เป็นสุนัขที่มีเสน่ห์และน่าเลี้ยงที่สุดพันธุ์หนึ่ง ฝึกง่าย ตื่นตัว กระฉับกระเฉง ช่างประจบ ใจดี และ ฉลาด สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี เป็นมิตรกับคนและสัตว์อื่น เป็น สุนัข ที่รักเด็ก และชอบเล่นกับเด็ก นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการสะกดรอยและการปราบปรามยาเสพติด

อาหารและการเลี้ยงดู ลาบราดอร์

       
   สถานที่เลี้ยง ลาบราดาร์ ต้องมีคอกที่ใหญ่และมีรั้วสูงล้อมรอบ และควรใส่ใจดูแลสุขภาพ ควรแปรงขนให้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง การเดินและวิ่งเล่นในที่ที่ไม่พลุกพล่านถือเป็นการออกกำลังกายที่ดี และเนื่องจาก ลาบราดอร์ เป็นสุนัขที่ไม่กลัวน้ำ ชอบว่ายและเล่นน้ำ หากมีเวลาก็ควรให้ได้ลงไปว่ายน้ำเก็บของบ้าง

          สำหรับ สุนัข ที่โตแล้ว ควรให้เขาเดินได้วันละ 30 นาที จะทำให้พวกเขาแข็งแรง ในขณะที่สำหรับลูกสุนัข จะใช้เวลาในการเล่นทั้งวัน ใครที่คิดจะเลี้ยง สุนัข ลาบราดอร์ บ้านของคุณควรมีบริเวณสนามหลังบ้าน ไว้ให้พวกเขาได้วิ่งเล่น และพวกเขายังเป็นจอมเคี้ยวและจอมขุดตัวยงอีกด้วย ถ้าคุณอยากให้สวนของคุณสวยเหมือนเดิม ให้เตรียมกั้นรั้วไว้ว่าบริเวณไหนที่คุณจะอนุญาตให้ ลาบราดอร์ เล่นได้

          ในเรื่องของอาหาร สุนัข ลาบราดอร์ จะอ้วนง่ายเวลาที่มีอายุมากขึ้น ซึ่งสามารถก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ ดังนั้น จึงควรดูแลอาหารการกินที่มีปริมาณและคุณค่าทางอาหารเหมาะสมตามวัยของ สุนัข และที่สำคัญควรจะพา สุนัข ไปตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี และตรวจสอบว่ามีปัญหาเรื่องโรคกระดูกข้อสะโพกหลุดหรือกระดูกอ่อนหรือไม่ การตรวจพบตั้งแต่ช่วงเริ่มแรก จะทำให้รักษาได้ผลดีกว่า

 
โรคที่มักเกิดกับ สุนัข ลาบราดอร์
 
โรคข้อสะโพกเสื่อม (Hip Dysplasia ) เป็นโรคกระดูกที่พบได้มากใน สุนัข พันธุ์ใหญ่ ( Giant and large breed ) โดยพบมากถึง 1 ใน 3 ของโรคกระดูกทั้งหมดใน สุนัข โดยโรคนี้จะมีพัฒนาการในช่วงที่มีการเจริญเติบโต ของกระดูกจึงอาจพบได้ตั้งแต่ 4-12 เดือน

โรคกระดูกอ่อน เป็นโรคที่เกิดขึ้นกับ สุนัข ที่มีการเจริญเติบโตของกระดูกไม่สมบูรณ์ จะมีอาการที่พบเห็นทั่วไป คือ สุนัขมีอาการขาโก่ง หรือ ขณะเดินจะสังเกตว่าขาจะไม่มั่นคง จะปัดไปปัดมา ซึ่งสาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น ขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ในช่วงที่กำลังเจริญวัย กินอาหารครั้งละมากๆ กินแล้วก็นอน ฯลฯ และผลที่ตามมา ขาก็จะลีบเล็กลง โดยที่มีน้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อย จนทำให้ขาเสียในที่สุด

          วิธีป้องกันที่ดีที่สุด คือ ให้อาหาร สุนัข ไม่ต้องมากในแต่ละมื้อ โดยอาจจะเพิ่มจำนวนมื้อให้มากยิ่งขึ้น และให้เวลากับสุนัขของคุณ ในการพาเค้าออกไปวิ่งเล่นออกกำลังกายยามว่าง ที่สำคัญอาหารที่ให้ก็ควรมีคุณค่าสารอาหารครบถ้วน ไม่ควรที่จะให้ ข้าวคลุกกับข้าว ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ควรจะให้สลับกับอาหารสำเร็จรูป สำหรับสุนัขบ้าง เพราะอาหารเหล่านั้นจะมีสารอาหารอย่างครบถ้วนสมบูรณ์

โรคขาดฮอร์โมนไทรอยด์  กล่าวคือ ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนน้อยกว่าปกติ และก่อให้เกิดความผิดปกติต่างๆ ของร่างกายโดยแสดงออกทางผิวหนัง อาการที่พบคือ สุนัขจะมีอาการขนร่วง เช่น  ข้างลำตัว  รอบก้นและหาง  หน้าอก  ในสุนัขอายุมากมักพบรังแคกระจายทั่วร่างกาย  อาจพบผิวหนังมีเม็ดสีสะสม  มักพบเป็นสีดำ อาจมีน้ำหนักตัวมากกว่าปกติ อ่อนเพลีย  ซึ่งโรคนี้มักพบในสุนัขอายุ  6-10  ปี แต่ถ้าเป็น สุนัข พันธุ์ใหญ่สามารถพบในอายุน้อยกว่า  6  ปีได้ ดังนั้น หากสุนัขของคุณมีอาการดังนี้  แนะนำให้พาสุนัขมาตรวจกับสัตวแพทย์เพื่อรับการรักษาจะดีที่สุด

โรคประสาทตาเสื่อม 


อาจเรียกได้ว่าเป็นโรคประจำของ สุนัข ลาบราดอร์ เนื่องจากพบอัตราการป่วยมากกว่าสายพันธุ์อื่น โดยอาการจอตาเสื่อมมีหลายชนิด ขึ้นอยู่กับบริเวณของจอตาที่มีปัญหา อาการที่สังเกตได้คือ สุนัข จะมองภาพได้ไม่ชัดเจนในที่มีแสงน้อย และเจ้าของจะรู้สึกว่าตาแวววาวผิดปกติ เนื่องจากม่านตาขยายเพื่อให้แสงผ่านไปได้มากขึ้น สุนัข อาจเห็นภาพได้แคบลง จึงต้องหันหัวมอง หรืออาจเดินชนสิ่งของ ส่วนใหญ่อาการนี้ไม่สามารถรักษาได้ แต่ไม่ใช่ทุกตัวที่เป็นจะต้องตาบอดอย่างสมบูรณ์ ทั้งนี้ต้องได้รับตรวจอย่างละเอียด


โรคต้อกระจก มักเกิดกับ สุนัข ที่มีอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป โดยจะมองเห็นแก้วตามีลักษณะขุ่นขาว ซึ่งสุนัขยังพอมองเห็นได้ แต่ถ้าแก้วตาขุ่นเพิ่มมากขึ้นก็จะทำให้มองไม่เห็น เนื่องจากแสงไม่สามารถผ่านเข้าไปยังจอรับภาพได้ ทั้งนี้สาเหตุเป็นเพราะโรคเบาหวาน หรือได้รับบาดเจ็บ มีแผลที่ตา อย่างไรก็ตาม โรคต้อกระจกอาจจะพบได้ในสัตว์อายุน้อยตั้งแต่เกิดจนถึง 3 ปี เนื่องจากเป็นมาตั้งแต่เกิด สำหรับการรักษา ควรรีบพาสุนัขของคุณไปพบสัตวแพทย์ เพื่อรับการตรวจและรักษาทันที หากปล่อยทิ้งไว้นาน  จะทำให้การรักษายากขึ้น และอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ตาบอดได้

โรคลมบ้าหมู 

จะทำให้ สุนัข ชักบ่อยๆ และควบคุมการทรงตัวไม่ได้ การแก้ไขเบื้องต้น ควรหาสถานที่ให้ สุนัข อยู่อย่างสงบในห้องที่มืดๆ จนกว่าอาการชักจะทุเลาลง ในระหว่างที่ สุนัข ชักอย่าได้เข้าไปจับตัวเด็ดขาด เพราะมันอาจหันมากัดได้  ทั้งนี้ ยารักษาโรคลมบ้าหมูอาจช่วยลดอาการชักให้น้อยลงได้ แต่ควรปรึกษาการใช้ยาจากสัตวแพทย์ สำหรับสาเหตุของโรคชักเกิดจากพยาธิในลำไส้เป็นตัวการสำคัญ

 

แหล่งที่มา  กระปุกดอทคอม